fbpx
Close To Heaven

A blog about food, desserts, drinks, mom & kids, travelling, and leisure…

เรือสำราญ Silver Shadow (Silversea Cruises)

เรือสำราญ Silver Shadow (Silversea Cruises)

วันก่อนมีเรือสำราญหรือ cruise ของ Silversea Cruises มาเทียบท่าจอดอยู่ที่

ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ ของเรานี่เอง  และบุ๊งก็มีโอกาสได้ขึ้นไปสำรวจด้านในเรือด้วยแหละ

เรือลำที่มาจอดชื่อว่า Silver Shadow รองรับผู้โดยสารได้ 382 คน

โดยมีสัดส่วนพนักงานบนเรือประมาณ 300 คน เกือบจะเป็นคนต่อคนเลยทีเดียว

 





Silversea Cruises Thailand

Tel. 092 253 5493

https://www.facebook.com/silverseathailand/



เรือ Silver Shadow ได้ชื่อว่าเป็นเรือสำราญระดับ luxury สัญชาติ Italian

ซึ่งเค้าจะมีจัดเป็น routes เส้นทางไว้อยู่แล้วว่า ช่วงเวลาไหน วันไหน เรือลำนี้จะเดินทางไปที่ไหนบ้าง

อย่างตอนที่บุ๊งไป  เรือเพิ่งแล่นมาจากฮ่องกง  จอดที่ท่าเรือคลองเตยประมาณ 2 วัน

แล้วก็จะเดินทางไปยังสมัย และ สิงคโปร์


Silver Shadow มีทั้งหมด 10 ชั้น (decks)

ห้องพักภายในเรือมีหลายประเภท  ห้องที่แพงที่สุดชื่อ Owner’s Suite

อยู่ตรงกลางลำเรือพอดีเพราะว่าเป็นจุดที่มั่นคง stable ที่สุด


ภายในเรือมี facilities ครบครัน เช่น สระว่ายน้ำ, ห้องอาหาร, บาร์, สปา, ห้องสมุด, theatre,

Humidor, casino, ร้านค้าปลอดภาษี, fitness, ร้านเสริมสวย, หรือแม้แต่ jogging tracks สำหรับวิ่ง


เมื่อแขกซื้อทัวร์ขึ้นมาอยู่บนเรือแล้ว  สามารถทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มบนเรือได้ตลอด

เครื่องดื่มตรงนี้รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์แดง ไวน์ขาว หรือ sparkling wine

ไม่มีจำกัดปริมาณ หรือใช้บริการต่าง ๆ ได้ ตรงนี้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

เพียงแต่มีบางอย่างที่ต้องชำระเงินเพิ่มต่างหาก เช่น แชมเปญ Dom Perignon หรือสปา

กับคาสิโน และซื้อสินค้าจากร้านค้าปลอดภาษีภายในเรือ ก็ต้องจ่ายเงินต่างหากค่ะ


ก่อนจะขึ้นเรือ  เราก็ต้องทำการยืนยันตัวตน คือต้องมี passport ถึงจะขึ้นไปบนเรือได้



ตรงนี้เป็นโรงละครค่ะ (theatre)

ภาพจากจุดชมวิวต่าง ๆ

คือพอดีว่าเรือจอดอยู่ที่ท่าเรือเลยได้วิวนี้มาค่ะ

ถ้าเรือแล่นอยู่ในทะล คงจะได้อีกวิวเนอะ

สระว่ายน้ำเป็นลักษณะนี้ค่ะ  ซึ่งเป็นสระขนาดมาตรฐาน ไม่ว่าจะเรือลำใหญ่กว่านี้

ก็จะมีแต่สระว่ายน้ำขนาดนี้ ไม่ใหญ่ไปกว่านี้แล้วค่ะ

ห้องสมุด (library)

คราวนี้เรามาดูภายในห้องพักกันบ้าง

ห้องพักที่บุ๊งไปเยี่ยมชมวันนั้นเป็นแบบ 1 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอน

ความดีงามคือ ห้องพักมีขนาดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับห้องพักบนเรือโดยทั่วไป

ภายในห้องนอนมีเตียงซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าอยากได้

แบบ double bed (เตียงใหญ่เตียงเดียว) หรือ twin beds (2 เตียงแยกกัน)

มีเก้าอี้โซฟาสำหรับนั่งพักผ่อน โต๊ะเขียนหนังสือ ทีวี minibar

ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วยค่ะ และที่ popular สุด ๆ คือ

“walk-in closet”  มีห้องแขวนเสื้อผ้าแบบที่เราลากกระเป๋าเข้าไปวาง

แล้วหยิบมาแขวนเป็นห้องได้เลย  (อันนี้บุ๊งก็ชอบนะ)

สำหรับห้องพักบนเรือ Silver Shadow บางชั้นก็จะมีระเบียง

ราคาค่าห้องก็จะต่างกันสำหรับห้องที่มีหรือไม่มีระเบียง


ต่อมาเป็นห้องแบบ 2-bed room suite

มี 2 ห้องนอน และมีบริเวณนั่งเล่นตรงกลางที่ “ใหญ่มาก”

แอบชอบห้องนี้อ่าาาาาา สวยจัง

ถึงคิวสำคัญละ  มื้อเที่ยงนั่นเอง  เราไปดูห้องอาหารกันค่ะ

อันนี้เป็นห้องอาหารอิตาเลียน

ส่วนห้องนี้เป็นห้องอาหารที่พวกบุ๊งทานอาหารเที่ยงกัน

อาหารที่เสิร์ฟจัดมาเป็นทั้งหมด 7 คอร์ส

เครื่องดื่มเราก็เลือกได้ว่าจะดื่มอะไรแล้วแต่ชอบเลยค่ะ

ขั้นแรกเสิร์ฟขนมปังก่อน (ตอนบุ๊งได้รับมาเป็นแบบไม่ได้อุ่นมา)

อยากให้อุ่นมาก่อนจะดีมากกกก

จานแรก (Amuse Bouche) เป็น Pan-seared Tiger Prawn

กุ้งลายเสือนำไปทอดกระทะแค่พอสุก  เนื้อกุ้งสดมากค่ะ กุ้งตัวใหญ่ด้วย

จานที่ 2 (From The Fields) เป็น Escalope of Foie Gras

ฟัวกราส์หรือตับห่านทอดสุกกำลังดี  เสิร์ฟพร้อมซอสราสพเบอร์รี่ที่นำไปปรุงรสด้วยน้ำส้ม

ที่เห็นเป็นแผ่นกลม ๆ นั่นคือแอปเปิ้ลที่นำไปทอดบนกระทะ ดึงความหวานออกมา

และที่ชอบมากคือ fig chutney กินกับฟัวกราส์เข้ากันดี๊ดี

จานที่ 3 (From The Sea) เป็น Char-grilled Fresh Fish of the Day

สเต็คปลาย่าง ซึ่งปลาที่จะนำมาปรุงอาหารจะแตกต่างกันไปแล้วแต่วันว่าวันไหน

เชฟได้ปลาแบบไหนมาทำอาหารให้เราทานกัน  วันนั้นบุ๊งได้ปลากระพงค่ะ

เนื้อปลาสดดีงามมาก แต่ที่ชอบคือ artichokes ผัดกับน้ำมันในกระทะ

เนื้อนุ่มแต่ไม่นิ่มมาก อร่อยอะ

จานที่ 4 (Intermezzo) เป็น Champagne and Strawberry Sorbet

ไอศกรีมซอร์เบทสตรอเบอร์รี่ผสมแชมเปญ  แก้วนี้จัดมาล้างปากเตรียมพร้อมกิน main course

จานที่ 5 (Entree) เป็น Roasted Tender Beef

จานหลักเป็นเนื้อวัวที่นำไปย่างจนได้ความสุกตามที่เราต้องการ

บุ๊งสั่งแบบ medium rare ไป ได้มาเป็นแบบนี้ค่ะ เนื้อนุ่มดีนะคะ ไม่ค่อยเหนียว

ซอสที่เสิร์ฟมาคู่กันคือ ซอสฟัวกราส์กับซอสไวน์ (Port Wine)

หากไม่ทานเนื้อวัว  สามารถสั่งเป็นเนื้ออย่างอื่นได้ตามที่มีในวันนั้น ๆ ค่ะ

เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา  อย่างจานนี้เป็นเนื้อหมู

จานที่ 6 (Dessert) เป็น Harmony of Desserts

ขนมหวานจัดมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 อย่าง

แป้งทาร์ตด้านล่างกรอบดีแหละ  เบอร์รี่รวมมีความเปรี้ยวไม่เลี่ยนดี

ส่วนตัวเครมบูเล่ใส่ฮาเซลนัทด้วย หวานมัน

อีกสองชิ้นเป็นช็อคโกแลต แอบชิมแล้ว ไม่หวานมากค่ะ

เครื่องดื่มไวน์ขาว ไวน์แดง sparkling wine สั่งได้ตลอด

เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าสนใจของบุ๊งเลย

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top